นิทานพลิกชีวิต : เขียนไว้บนผืนทราย สลักไว้บนหินผา
มีชายหนุ่มสองคนเป็นเพื่อนรักกันคือนายเอและนายบี ทั้งสองต้องการเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง แต่การเดินทางนี้ต้องผ่านทะเลทรายอันโหดร้าย ตอนแรกสัญญาว่าจะช่วยเหลือกัน แต่ด้วยระยะทางที่โหดร้ายทั้งร้อนและลำบาก ทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกันทำให้นายเอได้ต่อยหน้านายบีไป เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปทั้ง2ต่างก็รู้สึกเสียใจ แต่นายเอก็ไม่ได้เอ่ยปากขอโทษนายบีแต่อย่างใด ทำให้นายบีรู้สึกเสียใจเข้าไปอีก แล้วนายบีก็เขียนลงบนผืนทรายว่า "วันนี้ถูกเพื่อนรักต่อยหน้า"
จากนั้นคนทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย จนกระทั่งเขาเดินทางมาถึงโอเอซิสที่อุดมการณ์ เขาทั้งสองก็ได้ลงอาบน้ำล้างตัว ทันใดนั้นเองเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นายบีผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็ผลัดตกลงไปในน้ำและกำลังจะจมน้ำ นายเอเห็นดังนั้นก็กระโดดลงไปช่วยชีวิตเพื่อนขึ้นมา แล้วทั้งสองก็ยังไม่พูดอะไรออกมา แต่นายบีได้เอาก้อนหินเล็กๆมาเขียนสลักไว้บนก้อนหินใหญ่ว่า "วันนี้เพื่อนรักของฉันได้ช่วยชีวิตฉันไว้"
เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงเมืองเป้าหมาย นายเอก็ถามนายบีว่า ทำไมตอนที่เขาต่อยหน้าถึงเขียนในผืนทราย แต่ตอนช่วยชีวิตจากน้ำถึงสลักบนหินผา นายบีก็ตอบว่าที่เขาเขียนในผืนทรายเพราะต้องการให้สายลมแห่งกาลเวลาช่วยลบเลือนมันไป แต่ที่เขียนบนหินผาเพราะต่อให้เวลาผ่านไปแค่ไหน ลมจะพัดผ่านอย่างไรเราก็จะไม่ลืม
นิทานเรื่องนี้ทำให้เราได้ข้อคิดที่ว่า
ในชีวิตจริงของเราบ่อยครั้งที่มีคนรอบตัวเราคอยช่วยหลือเรา แต่เรากลับทำเป็นลืมไม่จดจำอะไรเลย แต่พอเขาทำอะไรไม่ถูกใจนิดๆหน่อยๆ เรากลับโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟจดทำไม่รู้ลืม ทำให้มันมาทำร้ายจิตใจเราและคนอื่นๆ
มันเป็นเรื่องปกติที่เมื่อคนเราทำงานร่วมกันย่อมจะมีการกระทบกระทั่งกัน ทั้งเรื่องการผิดพลาดในเรื่องของคำพูด ท่าทาง การวางตัวอยู่เสมอ
เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักการให้อภัยกันให้เร็วที่สุด เพราะมันจะทำให้เราค้นพบมิตรแท้ที่จะคอยช่วยเหลือกันต่อไปอีกในภายภาคหน้า